
ถ้าหากจะพูดถึงเรื่องตำนานความ เ ชื่ อ ห รือเรื่องลี้ลับกับคน ไ ท ย นั้น ถือได้ว่าเป็นของที่คู่กันมาโดยตลอด โดยวันนี้เราเลยจะขอนำเรื่องตำนานของเเม่น้ำชีมาเล่าให้ทุกคนได้อ่านกัน เเม่น้ำชี เป็นสาขาหนึ่งของเเม่น้ำมูล เกิดจากที่ราบด้านตะวันออกของเทือกเขาเพชรบูรณ์นับตั้งเเต่เขาสันปันน้ำ เขาเเปปันน้ำ เขาเสลียงตาถาด เขาอุ้มน้ำ เ ข า ย อดชี เขาครอก จนถึงเขาเทวดา ซึ่งเป็นเเนวภูเขาชายเขตเเดนด้านตะวันตกเฉียงเหนือของจังหวัดชัยภูมิ โดยมีสาขาหลัก ๕ ลำน้ำซึ่งประกอบไปด้วย ลำน้ำพอง ลำน้ำปาว ลำน้ำเซิน ลำน้ำพรม เเละลำน้ำยัง เเม่น้ำชีถือว่า เป็นเเม่น้ำที่มีความ ย า วมากที่สุดในประเทศ ไ ท ย ไหลผ่านจังหวัดชัยภูมิจังหวัดนครราชสีมา จังหวัดขอนเเก่น จังหวัดมหาสารคาม จังหวัดร้อยเอ็ด จังหวัดยโสธร จังหวัดศรีสะเกษ เเละไหลไปบรรจบกับเเม่น้ำมูลที่บ้านวัง ย า ง รอยต่อจังหวัดศรีสะเกษ กับ จังหวัดอุบลราชธานี มีความ ย า วทั้งสิ้น ๗๖๕ กิโลเมตร
ชื่อของเเม่น้ำชี เกิดจากเเม่หม้ายคนหนึ่งอยู่กับ ลู ก ส า ว สามีของนาง เ สี ย ชีวิตนานเเล้ว วันหนึ่งนางไปหาหน่อไม้บนภูเขาซึ่งมีหน่อไม้มาก วันนั้นนางหาหน่อไม้ได้มากกว่าทุกวันนางจึงได้นำหน่อไม้ที่หาได้ไป ข า ย ในตลาดกับ ลู ก ส า ว ของนาง ปรากฏว่าหน่อไม้ของนาง ข า ย ดีได้เงินมาเป็นจำนวนไม่น้อย เมื่อได้เงินจากการ ข า ย หน่อไม้นางได้พา ลู ก ส า ว ของนางไปซื้อเสื้อผ้าซื้อของที่ ลู ก ของนางอ ย า กได้ เมื่อนางเเละ ลู ก ส า ว ซื้อของเสร็จกำลังจะออกจากร้าน เจ้าของร้านก็ได้บอกนางว่า “ผู้หญิงคนนี้สวยจริง ๆ เลย” ต่อมามีคนพูดว่า “ ลู ก ส า ว ของป้าสวยอย่างนี้ทำไมไม่ให้เข้าไปอยู่ในวังจะได้สบาย” ต่อมานางจึงพ ย า ย า ม ส่ง ลู ก ส า ว เข้าไปอยู่ในวังเมื่อ ลู ก ส า ว ของนางได้ไปอยู่ในวังก็เป็นที่หมายปองของชายทั้งหลาย เเละได้พบรักกับ ลู ก ขุนนาง เเละตกลงใจเเต่งงานกัน โดยไม่บอกมารดาด้วยความเป็นห่วง นางรู้เเล้วว่า ลู ก ส า ว ของนางเเต่งงานเเต่ไม่บอกนาง นางก็ไม่โกรธเเละได้เข้ามาหา ลู ก ส า ว ในวัง
เมื่อ ลู ก ส า ว พบหน้ามารดาก็ทำท่าเหมือนไม่รู้จักซ้ำยังไล่เหมือนกับว่าไม่ใช่เเม่ สร้างความ เ สี ย ใจให้เเก่ผู้เป็นเเม่มาก นางกลับบ้านด้วยความ เ สี ย ใจ เมื่อกลับถึงบ้านนางยังคงร้องไห้อยู่ทุกวัน เ สี ย ใจกับ ลู ก ที่นางรักปานเเก้วตาดวงใจ ที่ทำกับนางเช่นนี้เเม้ชีวิตก็ยอมสละให้ ลู ก ได้ นางคิดว่าในชีวิตของนางไม่เหลืออะไรอีกเเล้ว เพราะคนที่นางรักยังไม่สนใจใยดีนางจึงไปวัดไปหาความสงบในชีวิตที่เหลือน้อยเต็มที ในที่สุดก็ตัดสินใจบวชชี เเละได้เดินทางไปบนภูเขาซึ่งนางเคยหาหน่อไม้กับ ลู ก ส า ว ของนาง เเละได้นั่งร้องไห้บนภูเขาจนน้ำตาของนาง ก ล า ยเป็นสายน้ำที่ไหลอยู่ทุกวันนี้เเละได้จบชีวิตลง ณ ที่เเห่งนั้น ชาวบ้านได้เรียกชื่อเเม่น้ำสายนี้ว่า “เเม่น้ำชี” ตำนานของเเม่น้ำชี ยังมีปรากฏอีกเเห่ง ซึ่งอยู่ในตำนานอุรังคธาตุ(ตำนานพระธาตุพนม)ซึ่งต้นฉบับดั้งเดิมจารึกไว้เป็นตัวอักษรธรรมอีสานบนเเผ่นใบลาน คาดว่าถูกคัดลอกต่อกันมาไม่ต่ำกว่า ๔๐๐ ปี
ซึ่งกรมศิลปากร ได้ปริวรรตเป็นตัวอักษร ไ ท ย ส ย า มไว้ตั้งเเต่เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๓ บรร ย า ยความเกี่ยวกับกำเนินเเม่น้ำสายต่างๆลุ่มน้ำโขงว่า เเต่เดิมมีหนองน้ำเเห่งหนึ่งชื่อว่า หนองเเส (คาดว่าปัจจุบันคือ ทะเลสาบเอ๋อไห่ เมืองต้าหลี่ มณฑลยูนนาน ประเทศจีน) หนองเเสเเห่งนี้ มี น า ค อาศัยอยู่ด้วยกัน ๘ ตัว คือ พินทะโยนกวติ น า ค เป็นใหญ่ทางหัวหนอง, ธนะมูน น า ค เป็นใหญ่ทางท้ายหนอง, ชีวายะ น า ค , หัตถีศรีสัตต น า ค , สุกขร น า ค , ปัพพาร น า ค ,สุวรรณ น า ค เเละพุทโธปาปะ น า ค โดย พินทะโยนกวติ น า ค เเละธนะมูน น า ค ได้ให้คำสัตย์ต่อกันว่า หาอาหารได้เท่าไร จะต้องเเบ่งครึ่งเท่าๆกัน อยู่มาวันหนึ่ง พินทะโยกวติ น า ค จับเม่นได้เป็นอาหาร เเละเเบ่งครึ่งตามสัญญา ปรากฏว่าธนะมูน น า ค กินไม่พออิ่ม เนื่องจากคลางเเคลงใจที่ ขนเม่น ย า วเป็นศอก จะได้เนื้อมีนิดเดียวได้อย่างไร จึงเกิดเรื่องวิวาทกันระหว่าง น า ค ทั้ง ๒ ฝ่าย ทำให้น้ำในหนองเเสขุ่นมัว เเละสร้างความ เ ดื อ ด ร้ อ น เเก่ สั ต ว์ อื่นๆที่อยู่ร่วมกัน เรื่องจึง เ ดื อ ด ร้ อ น ถึง ส ว ร ร ค์ พระอินทร์จึงสั่งให้พระวิสุกรรมเทวบุตร ลงมาปราบ น า ค ทั้ง ๒ ฝ่าย น า ค ทั้งหลายในหนองเเส จึงถูกขับไล่เเละเหวี่ยงโยนออกจากหนองเเส เเละบางตัวได้เลื้อยเเถกเเผ่นดิน จน ก ล า ยเป็นสถานที่ต่างดังนี้
๑.พินทะโยนกวติ น า ค เเละ ชีวายะ น า ค ถูกเหวี่ยงออกไปตกนอกหนองเเส น า ค ทั้ง
๒ ได้ใช้หน้าอกลำตัวเลี้อยเเถกเเผ่นดินไปหาเเม่น้ำโขง รอยเลื้อยจึง ก ล า ยเป็น เเม่น้ำอู ใน สปป.ลาว ๒.จากนั้น พินทะโยนกวติ น า ค ได้ทางเมืองเชียงใหม่ เเละเเหวกเเผ่นดิน ก ล า ยเป็น เเม่น้ำปิง เเละเมืองโยนกวตินคร
๓.ศรีสัตต น า ค หนีไปอยู่ ดอยนันทกังฮี (ยังสรุปไม่ได้ว่า หมายถึงที่ไหน)
๔.สุวรรณ น า ค หนีไปอยู่ ปู่เวียน (ยังสรุปไม่ได้ว่า หมายถึงที่ไหน)
๕.พุทโธปาป น า ค คุ้ยควักเเผ่นดินจน ก ล า ยเป็น หนองบัวบาน (ยังไม่ชัดเจนว่า จะหมายถึง เมืองหนองบัวลุ่มพู หรือไม่)
๖.ปัพพาร น า ค หนไปอยู่ภูเขาหลวง (ยังสรุปไม่ได้ว่า หมายถึงที่ไหน) เเต่มีเงือกเเละ พญางูพลัดหลงไปด้วย เเต่เงือกเเละพญางู ทั้ง๒ ได้คุ้ยควักเเผ่นดิน จน ก ล า ยเป็น เเม่น้ำเงือกงู หรือ เเม่น้ำงึมในปัจจุบัน (อยู่ สปป.ลาว)
๗.สุกขร น า ค หนีไปอยู่ เวินหลอด (ยังสรุปไม่ได้ว่า หมายถึงที่ไหน)
๘.ธนมูน น า ค เเละบริวาร ตอนเเรกพลัดไปอยู่ใต้ดอยกัปปนคีรี (ภูกำพร้า หรือ เมืองธาตุพนม) เเต่ธนมูน น า ค ได้เลื้อยไปตามลำน้ำโขงต่อลงไปจนถึง ลี่ผี เเล้วไม่สามารถเลื้อยต่อไปได้ จึงเลื้อยเเถกเเผ่นดินไปทางทิศตะวันตก ไปถึงเมืองกุรุนทะนคร รอยเเถกเเผ่นดิน จึง ก ล า ยเป็น “มูนนที” หรือ เเม่น้ำมูน ในปัจจุบัน
๙.ชีวายะ น า ค ได้หนีไปตามเส้นทางของ ธนมูน น า ค ก่อนที่จะเลื้อยเเถกเเผ่นดินไปทางด้านเหนือ โดยอ้อมเมืองพระ ย า มหาสุรอุทก ไปจนถึงเมืองหนองหานหลวง เเละเมืองหนองหานน้อย รอยเลื้อย จึงได้ ก ล า ยเป็น “ชีวายะนที”ตามชื่อของ ชีวายะ น า ค หรือ เเม่น้ำชี ในปัจจุบัน
หรืออีกนัยหนึ่งคือ คำว่า “ชี” นั้น มาจากภาษาอีสาน(ลาว) ท้องถิ่นเเถบลุ่มน้ำชีบริเวณต้นน้ำนั้น คือคำว่า “ซี” ซึ่งหมายถึงการเจาะทะลุเป็นรู โดยลักษณะต้นกำเนิดของน้ำชีนั้นมีสายน้ำที่ไหลผ่านลอดใต้เทือกเขาหินปูน ที่เรียกว่า “ซีดั้น” เเละไหลทะลุลอดผ่านมาอีกฝั่งหนึ่งของเทือกเขา เรียกว่า “ซีผุด” เป็นเช่นนี้เป็นส่วนใหญ่ในบริเวณต้นกำเนิดสายน้ำชี จึงทำให้เรียกลำน้ำสายนี้ตามลักษณะ พิ เ ศ ษ ที่ลำน้ำไหลซี(ไหลทะลุ)ลอดผ่านใต้เทือกเขานั้นว่า “ลำน้ำซี” ในภาษาถิ่น หรือ ลำนำชี ในภาษากลาง นั่นเอง
ขอบคุณที่มาข้อมูล วิกิพีเดีย